ปรากฏการณ์ “กฤดาบารมี” ก้องฟ้า
เมื่อปี 2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เมื่อครั้งทรงมีพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ และทรงมีพระชนมายุครบ 20 พรรษา บรรลุนิติภาวะ และอยู่ในฐานะที่จะรับราชสมบัติ เป็นองค์รัชทายาทสืบไป
สถาปนาสยามมกุฎราชกุมาร
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ขึ้นเป็น “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร”
เฉลิมพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระบรม โอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิติย สมบูรณสวางควัฒน์ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธ สยามมกุฎราชกุมาร”
โดยพระอิสริยยศ “สยามมกุฎราชกุมาร” ถือเป็นพระองค์แรกในสมัยการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย
ในครั้งนั้น ทางรัฐบาลไทย โดย จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ได้กำหนดให้มี พระราชพิธีสถาปนาเฉลิมพระนามาภิไธย โดยกำหนดให้มีพระราชพิธีต่างๆ ในการเฉลิมพระเกียรติยศตามตำแหน่งทุกประการ
โดยเริ่มจากพระราชพิธีการจารึก พระสุพรรณบัฏพระนามาภิไธย รวมทั้ง พระราชลัญจกร คือตราประจำพระองค์ จัดขึ้นในวันที่ 21 ธันวาคม พุทธศักราช 2515 พระราชพิธีศรีสัจจปาน และการเสกน้ำพระพิพัฒน์สัตยา วันที่ 27 ธันวาคม พุทธศักราช 2515 ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง ในวันเดียวกัน
ขณะที่พระราชพิธี ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และ พระราชพิธี สถาปนาเฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยาม มกุฎราชกุมาร จัดขึ้น ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต เวลา 12.23 นาฬิกา ของวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2515 ท่ามกลางมหาสมาคม อันประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน และคณะทูตานุทูต
โดยในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณในการพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในการสถาปนาขึ้นเป็น “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร” มีพระราชดำรัสความว่า
“ข้าพเจ้าผู้เป็นสยามมกุฎราชกุมาร จะรักษาเกียรติยศและอริยศักดิ์ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานไว้ด้วยชีวิต จะจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชน จะปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างโดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถและโดยความเสียสละ เพื่อความเจริญ สงบสุขและความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศไทย จนตราบเท่าชีวิตร่างกายจะหาไม่”
กฤดาบารมีนานัปการ
ขณะเดียวกัน ราชกิจจานุเบกษา ประกาศฉบับพิเศษ เล่มที่ 89 ตอนที่ 200 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2515 ประกาศสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นรัชทายาทสืบสันตติวงศ์ ความตอนท้าย อ้างถึงพรพระราชทาน ในประกาศสถาปนาองค์รัชทายาทครั้งนี้
“ให้ทรงพระเจริญสิริสวัสดิ์ ทรงมั่นอยู่ในขัตติยราชธรรมทศพิธอันเป็นหลักของผู้ปกครองบ้านเมืองในสยามประเทศนี้ ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย ทั้งบุญญานุภาพแห่งพระสยามเทวาธิราช และเทพดาเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงอภิบาลรักษาให้ทรงวัยวัฒนายุกาล ทรงพรรณ สุขพล ปฏิภาณ คุณสารสมบัติพิพัฒมงคล วิบุลศุภผล สกลเกียรติยศ ปรากฏกฤดาบารมีมโหฬาร ตลอดจิรัฏฐิติกาลเทอญ”
แล้ว “กฤดาบารมี” ขององค์มกุฎราชกุมาร ก็ปรากฏดังพรพระราชทานนับตั้งแต่วันนั้นเอง
ปฏิบัติการอุกอาจ “กันยายนทมิฬ”
เพราะในวันเดียวกัน ราว 12.00 น. ในวาระมหามงคลของบ้านเมือง ห้วงเวลาแห่งความปีติสุขของผองพสกนิกรไทยนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นในพื้นที่ใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย เป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก
เมื่อชายอาหรับจำนวน 4 คน สมาชิกองค์กรปาเลสไตน์ ขบวนการ “กันยายนทมิฬ” หรือ แบล็กเซปเทมเบอร์ ที่เพิ่งก่อเหตุสะเทือนขวัญ ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ที่นครมิวนิก เยอรมนี ได้ลักลอบปีนรั้วเข้าไปภายในบริเวณสถานทูตอิสราเอล ถนนเพลินจิต กทม.
กลุ่มโจรทั้ง 4 ได้ใช้อาวุธปืนกลที่ซ่อนมาในชุดสากล ขู่บังคับ กวาดต้อนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่รักษาการณ์ดูแลความปลอดภัย และเจ้าหน้าที่สถานทูต พร้อมครอบครัวคนไทยออกไปจากสถานทูตทั้งหมด ก่อนเข้าควบคุมตัวอุปทูต หัวหน้ากองการกงสุล และเจ้าหน้าที่สถานทูตชาวอิสราเอล รวมทั้ง เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศกัมพูชา ที่มาติดต่องานในช่วงเวลาดังกล่าว รวมตัวประกันทั้งหมด 6 คน ไปควบคุมไว้บนชั้นสองของอาคารสถานทูต
ขณะที่ นายรีห์อาวีน อามีร์ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ได้เดินทางไปร่วมพระราชพิธีสถาปนามกุฎราชกุมาร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ที่อาจถือได้ว่าเป็นเพราะกฤดาบารมีของมกุฎราชกุมารแห่งประเทศไทย ที่ทำให้รอดพ้นจากการควบคุมตัว
ข้อเรียกร้องจากผู้ก่อการร้าย
ทั้งนี้ ขบวนการก่อการร้ายกลุ่มนี้ได้ยื่นเงื่อนไขที่เป็นหลักประกันความปลอดภัยของตัวเอง และข้อเรียกร้อง 6 ข้อ ให้ปล่อยเพื่อนร่วมขบวนการที่ถูกจับคุมขังอยู่ในเรือนจำประเทศอิสราเอลที่เป็นศัตรู โดยยื่นคำขาดไม่เกิน 08.00 นาฬิกา ของวันที่ 29 ธันวาคม 2515 หรือราวอีก 20 ชั่วโมงถัดไป เป็นเส้นตายให้รัฐบาลอิสราเอลทำตามข้อเรียกร้อง
เหตุการณ์ระทึกขวัญ และข้อเรียกร้องทั้งหมด ได้ถูกส่งรายงานไปถึง จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี และเอกอัครราชทูตอิสราเอล ที่รายงานต่อไปยัง นางโกลดา แมร์ นายกรัฐมนตรีของอิสราเอลสมัยนั้น ทันที และคณะรัฐมนตรีของทั้ง 2 ประเทศ ได้เรียกประชุมด่วน
โดยเฉพาะในประเทศไทย บุคคลสำคัญในรัฐบาลของไทยได้ไปปักหลักติดตามสถานการณ์ที่โรงเรียนมาแตร์เดอี ใกล้กับสถานทูตอิสราเอล ที่ใช้เป็นกองบัญชาการติดตามสถานการณ์ มีการจัดกำลังเสริมล้อมสถานทูตไว้ทุกด้าน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการพิเศษเตรียมพร้อม
ขณะเดียวกัน ผู้แทนมุสลิมที่ร่วมในพระราชพิธีนัดจะไปรวมตัวกันที่หน้าสถานทูตอิสราเอล เพื่อสวดคัมภีร์กุรอานอ้อนวอนให้ขบวนการชาวอาหรับยุติปฏิบัติการ อีกด้านมีรายงานถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มนิสิตนักศึกษา 6 สถาบัน ประกาศจะระดมพลไปที่หน้าสถานทูตเพื่อเรียกร้องให้กลุ่มโจรยุติการกระทำ เช่นเดียวกับประชาชนที่ทราบข่าวเริ่มไม่พอใจกลุ่มก่อการร้ายที่ก่อเหตุในวันมหามงคลของคนไทย
ในสถานการณ์ตึงเครียดนั้น จอมพลถนอมพร้อมด้วยแกนนำคนสำคัญของรัฐบาลได้ร่วมประชุมฉุกเฉิน และมอบหมายให้ พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ รมว.ต่างประเทศ (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ให้ติดต่อขอเอกอัครราชทูตอียิปต์ประจำประเทศไทยมาช่วยเจรจา พร้อมกับล่ามชาวไทย
ส่ง “น้าชาติ” และ “เสธ.ทวี” เจรจา
ขณะเดียวกัน จอมพลถนอมก็ได้ตัดสินใจมอบหมายให้พลตรีชาติชาย พร้อมกับพลอากาศเอก ทวี จุลละทรัพย์ เสนาธิการทหารและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นตัวแทนเข้าไปเจรจา โดยให้มีอำนาจสั่งการในปฏิบัติ การใดๆจากฝ่ายรัฐบาลไทย เพื่อป้องกันเหตุผิดพลาด
ด้วยความเชี่ยวชาญในเรื่องเจรจาต่อรองของพลอากาศเอกทวี รวมถึงรัฐมนตรีต่างประเทศอย่างพลตรีชาติชาย โดยเฉพาะพลอากาศเอกทวี ประธานสภาโอลิมปิกแห่งประเทศไทย เพิ่งนำนักกีฬาไทยไปร่วมการแข่งขันโอลิมปิกที่เยอรมนี และได้ร่วมในเหตุการณ์กันยายนทมิฬ ที่มิวนิกมาไม่นาน ทำให้การเจรจาในขั้นต้นถือว่าลุล่วงไปด้วยดี
ในนาทีเป็นนาทีตาย ระหว่างที่คนทั้งโลกติดตามผลการเจรจาของตัวแทนรัฐบาลไทยกับกลุ่มโจรนั้น มีหลายเหตุการณ์จากการบอกเล่าและบันทึกความทรงจำของคณะเจรจา โดยเฉพาะพลอากาศเอกทวีและ พลตรีชาติชาย
ไม่ว่าจะเป็นเหตุสุ่มเสี่ยงจะจบลงทางร้าย และอาจกลายเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อผู้ก่อการร้ายทำระเบิดมือร่วงลงพื้นระหว่างพูดคุย จนต้องโดดหลบหาที่กำบังกันทั้งสองฝ่าย แต่โชคยังดีที่ระเบิดด้าน หรือที่สองรัฐมนตรีคณะเจรจาฝ่ายไทยได้เล่าไว้ตรงกัน ถึงการใช้หลักจิตวิทยาพูดคุย หยิบยกข้อดีข้อเสีย โน้มน้าวให้ยุติปฏิบัติการ เพราะข้อเรียกร้องที่รับรู้ไปทั่วโลกแล้ว ตลอดจนการชวนสนทนาไปถึงชีวิตส่วนตัวเพื่อลดความตึงเครียด
แต่ที่พิเศษจริงๆ คือการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกตามที่สมาชิกขบวนการก่อเหตุ ทั้งอาหาร-น้ำดื่ม โดยเรื่องนี้ทั้ง “เสธ.ทวี” และ “รัฐมนตรีชาติชาย” ให้ข้อมูลตรงกันไว้ว่า มีการจัดเมนูพิเศษสำหรับชาวอาหรับที่เคยลิ้มรสอาหารไทย และติดใจจนต้องร้องขอ รวมถึงเชลยที่ถูกคุมตัวก็ได้มีโอกาสรับประทานที่จัดไปให้ด้วย
จนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การเจรจาบรรลุผลก็ว่าได้ และภายหลังเรียกเมนูที่จัดไปให้นี้ว่า “ข้าวหมกไก่กู้ชาติ”
กระทั่งการเลือกเครื่องดื่ม อย่างไวน์ ที่พลตรีชาติชายใช้ไหวพริบ บวกความรู้ทางประวัติศาสตร์ เลือกชั้นดีที่ผลิตจากประเทศที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวโยงและสร้างความรู้สึกที่ดีกับกลุ่มผู้ก่อการชาวปาเลสไตน์
ชี้ให้เห็น “วันสำคัญของชาติ”
เหนืออื่นใด มีประเด็นสำคัญที่ถูกบันทึกไว้ โดยพลอากาศเอกทวีและพลตรีชาติชาย ถึงการเจรจาครั้งประวัติศาสตร์ ที่ทำให้เหตุรุนแรงยุติโดยไม่มีเลือดตกยางออกอย่างที่หวาดหวั่นกัน ส่วนสำคัญที่ต้องถือว่าเป็นการแสดงถึงพระบารมีแผ่ไพศาลของในหลวงรัชกาลที่ 9 องค์รัชทายาท และพระราชวงศ์ไทย ที่รับรู้กันไปทั่วโลก
เมื่อคณะเจรจาจากประเทศไทย โดยพลอากาศเอกทวีได้แจ้งแก่หัวหน้าและสมาชิกกลุ่ม “แบล็กเซปเทมเบอร์” ถึงวันสำคัญของประเทศไทย “ได้บอกกับพวกเขาไปว่า วันนี้เป็นวันมงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาเจ้าฟ้าชายขึ้นเป็นมกุฎราชกุมาร และขอร้องให้เห็นแก่วันสำคัญของคนไทย” โดยหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการตอบกลับมาว่า ไม่ทราบมาก่อนเลยว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของชาวไทย “เขามีความเสียใจมาก”
ผู้ก่อการร้ายกลับใจ
หลังจากนั้น ทางฝ่ายก่อปฏิบัติการสะเทือนขวัญครั้งนี้ได้ขอเวลาไปปรึกษาหารือกันอีกครั้ง กระทั่งเที่ยงคืนก่อนเข้าสู่เช้าวันที่ 29 ธันวาคม ปี 2515 นั้นเอง หัวหน้าขบวนการชาวปาเลสไตน์ได้แจ้งกับคณะเจรจาของรัฐบาลไทยว่า ได้ตัดสินใจที่จะยุติปฏิบัติการครั้งนี้ โดยขอให้จัดเครื่องบินพาเขาส่งออกนอกประเทศด้วยก่อนเช้า และขอให้พลอากาศเอกทวีและพลตรีชาติชายร่วมไปส่งด้วย
เหตุการณ์ทั้งหมดจึงจบลงด้วยดี เมื่อราว 06.00 น. วันที่ 29 ธ.ค.ปี 2515 ชาวปาเลสไตน์ สมาชิกทั้ง 4 ของขบวนการ “กันยายนทมิฬ” ได้ขึ้นรถบัสที่จัดไว้เพื่อไปขึ้นเครื่องบิน สายการบินไทย บินไปลงยังกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ พร้อมกับคณะเจรจาของรัฐบาลไทยที่เป็นตัวประกันความปลอดภัยร่วมเดินทางไปด้วย
กว่า 19 ชั่วโมง กับเหตุการณ์ก่อการร้ายครั้งแรกที่เกิดขึ้นในไทย กับห้วงเวลามหามงคลของบ้านเมืองไทย ทั้งหมดจบลงด้วยดี พร้อมกับความโล่งอกของประชาชนคนไทยและคนทั่วโลก
พระบารมี เกริกไกร ก้องโลก
ขณะที่ภาพลักษณ์ของประเทศไทยโดยรวม ที่ถูกกล่าวขานกันมานานแล้ว ในเรื่องของความเป็นบ้านเมืองแห่งความสงบ สันติ ผู้คนเป็นมิตร ที่สำคัญคือคนไทยเองก็เชื่อว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมือง บุญญานุภาพแห่งพระสยามเทวาธิราช เทพยดาฟ้าดิน คุณพระศรีรัตนตรัยที่ปกปักรักษาบ้านเมืองไทย
รวมถึงพระบุญญาธิการแห่งบูรพกษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม องค์พระประมุขและพระราชวงศ์ไทยเกียรติกำจรไกล ได้รับการยอมรับ นับถือไปทั่วโลก
ตอกย้ำหลังเหตุการณ์จบลง เลขานุการสถานทูตอิสราเอล และภรรยา ที่ถูกจับเป็นตัวประกันในสถานทูต ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศไว้ว่า “หากไม่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งประเทศไทยแล้ว เราก็คงไม่ได้รอดชีวิตกันแน่”-“เมื่อเวลาประมาณเที่ยงคืน พวกกองโจรบอกว่าจะปล่อยตัวเชลยเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
และแน่นอน หมายรวมถึง “กฤดาบารมี” ของ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ประจักษ์แจ้งนับตั้งแต่วันที่ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร”
ถือได้ว่าเป็น “กฤดาภินิหาร” ฉับพลัน เป็น “กฤดาบารมี” ที่ยังคงปรากฏ ดั่งพรพระราชทาน ตราบจนถึงกาลปัจจุบัน ที่ทรงตอบรับขึ้นเป็นในหลวงรัชกาลที่ 10 องค์พระประมุขของพสกนิกรปวงชนชาวไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10
พร้อมกับความร่มเย็นเป็นสุขที่บังเกิดกับประเทศไทยและผองคนไทยภายใต้ร่มพระบารมีของในหลวงพระองค์ใหม่ เป็น “กฤดาบารมี” ที่ประจักษ์แจ้งแจ่มชัด และจะตราตรึงอยู่ในดวงใจคนไทย ทุกผู้นามตราบนานเท่านาน.