จัดพิธีศาสนาพุทธอิสลามพร้อมกัน สถานที่เดียวกัน

จัดอาสนของสงฆ์ให้ต่างศาสนาใช้ด้วยกัน อย่าเรียกว่าสร้างสรร นี่คือการทำลาย

  • เพราะเรามีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ถึงจะไม่มีการเรียนรู้อย่างลึกซึ่ง แต่รับรู้และซึมลึกในจิตสำนึก จิตวิญญานมีความเป็นพุทธอยู่ในระดับหนึ่งที่บ่งบอกอัตลักษณ์ชาวพุทธได้โดยพฤติกรรม   
  • แต่ไม่มีใครสังเกตว่า สังคมที่เหลวแหลก สังคมที่ไม่มีการชำระล้าง ได้ดึงจิตใต้สำนึกด้านศีลธรรมตกต่ำไปด้วย ถ้าจะกล่าวถึงปรากฎการณ์ทุกวันนี้นั่นคือ “ความขัดแย้งทางอารยธรรม” แต่ที่แปลกคือ เรื่องนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยได้อย่างไร? เราก็รู้อยู่ เหตุการณ์ในภาพต้องมีคนต้นคิด คนสั่งการ และคนปฏิบัติ..คิดกันด้วย
  • เนื่องจากเราไม่ได้เรียนพระพุทธศาสนากันอย่างจริงจัง แต่สนใจการเมืองระบอบประชาธิปไตยไหลตามกระแส เนื่องจากกระแสการเมืองที่เชี่ยวจัด แรงของกระแสทำให้พระพุทธศาสนากระแสตกเป็นเพียงพุทธในทะเบียนบ้านเท่านั้น ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีพรรคใดสนใจ
  • เพราะกิเลสอยากจะได้ดีทางลัด หลังเหตุการณ์ปล้นปืน ๔ มค.๔๗ ใหม่ๆ กระแสสมานฉันท์แรงมาก ใครๆก็อยากร่วมขบวนกันมากมาย ต่างก็ประกาศว่าตนเองมีเพื่อนเป็นมุสลิมมากมาย ฝ่ายมุสลิมก็บอกว่าจะช่วยแก้ไขปัญหา บ้างก็บอกว่าถ้าหากไม่มีมุสลิมร่วมแก้ไขด้วยจะแก้ไขปัญหาไม่สำเร็จ

ปรากฎว่าบัดนี้คนไทยพุทธที่มีเพื่อนเป็นมุสลิมคนนั้น ได้สมัครสส.เข้าร่วมพรรคการเมืองของนายวันนอร์ฯไปแล้ว

  • เพราะนิสัยเก่งเดี่ยว จะทำอะไรก็ต้องเด่นกว่าใคร เดินล้ำหน้าไม่คอยใคร ไม่ปรึกษาใคร อยากจะเป็นยอดนักปกครอง จึงให้ความเมตตาจนกระทั่งเกินระวัง ไม่พยายามเข้าใจแต่ทุรังเข้าให้ถึง ทำให้เกิดปัญหาทางสังคมตามมาอีกมาก
  • อยากจะเป็นฮีโร่ เหมือนคนมีปมด้อยอยากสร้างปมเด่น จึงคิดอะไรแผลงๆ
  • ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่สามารถปกครองให้ อิสลามมีความเสมอภาคเท่าเทียมพุทธ
  • ภาพเท่าเทียมนี้จึงได้เกิดขึ้น (ภาพอิหม่ามนั่งเทียมพระสงฆ์)

ภาพนี้ (อิหม่ามนั่งเทียมพระสงฆ์) เกิดขึ้นด้วยเหตุที่ว่า

๑. ชาวไทยพุทธไม่รู้คุณค่าของพระพุทธศาสนา ทั้งๆที่ชาวโลกกระหายที่ได้เรียนรู้และปฏิบัติธรรมตามแนวทางพระพุทธศาสนา ได้เปลี่ยนศาสนามารับพระพุทธศาสนากันมากมาย

๒. ประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่ขาดหายไปจากตลาด และนักการเมืองได้สร้างกระแสขึ้นเพื่อตนเอง เป็นความคิดแผลงๆที่เอาประชาธิปไตยมาเปรียบเทียบกับความศรัทธา ในความเป็นจริงแล้วปชต.เป็นระบอบสร้างความแตกแยกมากกว่าความสามัคคี แต่ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาสร้างความเป็นหนึ่งในสังคม สังเกตได้ว่าต่างนิกายแต่ร่วมสังฆกรรมกันได้ อุบาสก อุบาสิกา ก็ไม่ได้แยกตามนิกายด้วย

๓. ความศรัทธาในพระพุทธศาสนามีในจิตวิญญานทุกคน แต่ที่ขาดไปคือความรับผิดชอบและไม่รู้จักหน้าที่ของอุบาสก อุบาสิกา เคยมีพระสงฆ์เล่าให้ฟังว่า

“ครั้งหนึ่งเดินทางด้วยรถสองแถวมีผู้โดยสารทั้งไทยพุทธ และมุสลิมร่วมเดินทางด้วย เป็นเรื่องที่รับรู้ได้ว่าสังคมกำลังจะเปลี่ยนไม่น่าเชื่อว่าคำพูดที่เรียกพระสงฆ์ว่า “ไอ้โล้น” “ไอ้ขอทาน” ออกจากปากของมุสลิม ที่ประกาศว่าเป็นผู้รักสันติ คำๆนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? และชาวพุทธผู้ร่วมเดินทางนั่งฟังเฉยได้อย่างไร?

๓.๑ เชื่อว่าเด็กมุสลิมเหล่านั้น เคยเรียนในโรงเรียนสังกัดกระทรวงศึกษาธิการกันทุกคน แสดงว่ากระทรวงศึกษาธิการมิได้สอนให้ทั้งไทยพุทธ และมุสลิมได้เรียนกันในโรงเรียนได้เรียนรู้ศาสนาพื้นฐานทุกๆศาสนา และเชื่อว่าชาวพุทธที่ร่วมเดินทางไม่รู้จักพุทธกิจ ๕ ประการของพระพุทธองค์

ในเมื่อไทยพุทธก็ไม่รู้ มุสลิมก็ไม่รู้ ชาวพุทธก็ไม่สามารถอธิบายให้เพื่อนต่างศาสนาเข้าใจได้ พลังแห่งความสามัคคีเกิดจากความเข้าใจ และการอยู่ร่วมกันที่ดีคือ ชาวพุทธแสดงความรู้ มีความเห็นชี้แจงด้วยคำสุภาพให้เพื่อนต่างศาสนาเข้าใจ ถ้าทำไม่ได้ความเกรงใจจากเพื่อนต่างศาสนาก็ไม่มี

๓.๒ เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ไม่สนใจในหน้าที่ของตนเองแต่อยากร่วมขบวนความมั่นคง เสนอโครงการสอนภาษามาลายูทั่วประเทศ และขยายออกไปตามตะเข็บชายแดนทั่วประเทศ....เรื่องนี้เป็นความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ ทำไมต้องไปสอนภาษามาลายูที่ชายแดนเขมร ลาว พม่าด้วย?

สรุป    

๑. ความผิดพลาดเช่นนี้ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเด่นมากตั้งแต่มีปัญหา ๓ จชต. เป็นเรื่องที่พอจะประเมินได้ว่าเกิดจาก หน่วยงานการข่าวอาจจะไม่ได้รายงานว่า

“ความขัดแย้งที่เป็นอยู่ใน ๓ จชต.มีการเสี้ยมสอนให้มุสลิมรังเกียจชาวพุทธ” จึงไม่ได้มีการเตรียมการล่วงหน้าเพื่อเผชิญกับวิกฤติความขัดแย้งทางวัฒนธรรมที่กำลังจะเกิดและขยายตัว ทำงานระบบเก่าๆ ความคิดเก่าๆ รอให้เกิดปัญหาแล้วตามแก้ไขทีหลัง ปัญหาจึงบานปลาย

เรื่องการจัดอาสนสงฆ์ที่ผิดประเพณีนี้ เป็นเรื่องที่พระสงฆ์ หรือ เจ้าคณะต้นสังกัดจะต้องกราบเรียนให้ มหาเถรสมาคมทราบ

ผู้ที่มีหน้าที่ติดตามแก้ไขปัญหาถวายมหาเถรสมาคม คือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มิใช่พระสงฆ์ คณะสงฆ์ หรือ มหาเถรสมาคม

๒. หรือว่า ผู้บริหารความมั่นคงมีความปรารถนาดี และสร้างสำคัญให้กับตนเองร่วมแก้ไขปัญหาความมั่นคง “ภาคใต้” โดยบีบ ลด มัดตราสัง จารีตของพระสงฆ์เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม เพื่อว่าปัญหาภาคใต้จะสงบ ?

๓. พระพุทธศาสนาเป็นกลไกสร้างสังคม ฝ่ายอาณาจักรควรที่จะบริหารสังคมที่พระพุทธศาสนาได้ฟอกและชำระมาดีแล้ว เพียงแต่ว่าเครื่องมือที่จะฟอกสังคมกลับไปอยู่ในมือของ “นักการเมือง” บ้านเมืองจึงอยู่ลักษณะของ คนป่วย เช่นทุกวันนี้

๔. ชาติที่พัฒนาตนเองได้รุดหน้า จะต้องมีจารีต ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง และมีผลให้ประชาชนกลมเกลียวเกาะเกี่ยวกับจารีต ประเพณี อยู่ร่วมเป็นหนึ่งในสังคมเดียวกัน

การจัดที่พิธี ๒ ศาสนาเกิดขึ้นเป็นเพราะเจตนาหรือไม่ก็ตาม ผู้บริหารจัดอาสนสงฆ์ และที่นั่งของอิสลามครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการทำลายจารีต และ ความศรัทธาไปแล้ว ต่อไปความคุ้นชินจะเปลี่ยนไปสู่ เจตนารมณ์ที่ “เห็นด้วย” เป็นไปได้ที่

ก. พุทธศาสนิกชนต้องกราบอิหม่ามเหมือนพระสงฆ์

ข. พระจะขอมีเมียเหมือนอิหม่ามบ้าง

ประเด็นแย้ง     “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะยินยอม” ....ต้องทบทวนว่ามีเรื่องเป็นไปแล้วกี่เรื่อง?

ถึงแม้ว่า จะไม่ยินยอม  แต่! .... “เป็นไปได้ที่จะขอ และปฏิบัติ !”

ข้อสังเกตุ         ผู้บริหารฯได้ปูทางสร้างความคุ้นชินในสังคม  รอการเปลี่ยนแปลงในวาระที่เหมาะสม - การขับ “อาซาน” วันละ ๕ ครั้ง เมื่อใดที่ไทยคุ้นชิน เมื่อนั้นจะได้เห็นปฏิกิริยาเรียกร้องให้วัดหยุดตีระฆัง ...... จริงมั๊ย?

  • จัดพิธีอย่างนี้ ถ้าหากต่างศาสนาจัด ... คือปัญหา
  • แต่ถ้าหากคนในองค์กรรัฐบาลจัด ... เชื่อใจและวางเฉย จนกระทั่งคุ้นชิน

สรุปเข้าประเด็น ไม่มีใครทำลายพระพุทธศาสนาได้ มีแต่ชาวพุทธ ทำลายกันเอง...นี่คือสัจธรรม

  • ในเมื่อกระทรวงศึกษาธิการ เคยคิดที่จะสอนภาษามาลายูตามตะเข็บชายแดนทั่วประเทศได้ ก็ต้องคิดสร้างสรรแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้
  • สำนักงานพระพุทธศาสนาฯไม่ทำหน้าที่ชี้แจงให้ผู้จัดฯเข้าใจ เหตุการณ์แบบนี้ก็จะเกิดขึ้นอีก
  • กระทรวงวัฒนธรรมเกี่ยวข้องแน่นอน “สิ้นชาติเพราะ สิ้นอัตลักษณ์” (อย่าลืมว่าต่างศาสนาเคยขอให้บรรจุ “อัตลักษณ์” ลงในรัฐธรรมนูญมาแล้ว ไม่มีกระทรวงใดค้านเลย!)
  • “ความคุ้นชิน” เป็นจิตวิทยาที่อิสลามรู้ดีและรู้จักนำมาใช้ “เราต้องรู้เท่าทัน - อย่าแก้ไขปัญหาตามหลัง” ก็เพราะเหตุเกิดแล้ว การแก้ไขต้องใช้เวลา ระหว่างนั้น “ความคุ้นชิน” เกิดแล้ว

ปัญหาแผ่นดินมีมากมายเหมือนบ้านดูสวยงามแต่ปลวกกินทั้งหลัง ดังนั้น ต้องแก้ไขทั้งระบบ

 

พระราชอาสน์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ร.๙ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ

ในพิธีเปิดเดินรถไฟฟ้าใต้ดินที่ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหัวลำโพง

ณ พระราชพิธีใดที่พระมหากษัตริย์ทรงเสด็จประกอบพระราชกรณียกิจ ถ้าหากต้องจัดที่ประทับนอกอาคาร    จะจัดสร้างปะรำพิธีขึ้นสำหรับทอดพระราชอาสน์ของพระมหากษัตริย์ และสมเด็จพระราชินี เมื่อเสร็จพิธีแล้วจะจัดเก็บ  รื้อถอน หรือ ปิดกั้นมิให้ผู้ใดเข้ามาใช้ทับพื้นที่นั้นเพื่อรอการรื้อถอน และจะไม่มีใครเข้ามาใช้สถานที่นั้นอีกแล้ว แม้แต่ “สมเด็จพระสังฆราช” พระราชาของพระสงฆ์ ก็ไม่เคยมีปรากฎใช้ทับที่สถานที่ประทับเดียวกัน  

ดังเช่นในภาพ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหัวลำโพง เมื่อเสร็จพิธีฯได้เก็บอุปกรณ์สำคัญในพิธี เช่น พระราชอาสน์มาแสดงให้ประชาชนได้เห็นและรำลึกถึง

เราเป็นชาติที่เก่าแก่ มีขนบธรรมเนียมมาแต่โบราณ เราให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ตามลำดับอาวุโส ตามลำดับชั้นยศ และตามความศรัทธา จะเห็นได้ว่าแม้แต่ในหลวง ร.๙  เสด็จไปกราบพระมหาเถระ ก็ทรงประทับกับพื้นและต่ำกว่าพระอารยสงฆ์นั้น

ภาพที่เจ้าหน้าที่รัฐฯจัดให้อิหม่ามนั่งเสมอพระสงฆ์ ดังภาพข้างต้นทำนายอนาคตได้เลยว่า ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป พระที่นั่งของพระเจ้าอยู่หัวก็จัดให้ประธานาธิบดีแขกมานั่งทับได้  แล้วต่อไปก็นายกฯแขก ต่อไปก็เศรษฐีแขก แม้กระทั่งแขกขายถั่วก็นั่งทับได้...มั่ว!

การคลั่งประชาธิปไตยเกินสำนึกในจิตวิญญานของชาติพันธุ์ หรือ ทอดทิ้งจารีต ประเพณี วัฒนธรรม และศาสนา มีผลให้อัตลักษณ์ของชาติพันธุ์สูญสิ้น....นั่นคือ  

“สิ้นชาติ!”

 

จำนวนผู้เข้าชมหน้านี้ : website counter