ทุกๆเผ่าพันธุ์ล้วนมีพัฒนาการตนเองมาด้วยขนบธรรมเนียม ประเพณี ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชนต่างเผ่า การให้ความเคารพซึ่งกันและกันระหว่างกลุ่มต่อกลุ่ม ชนเผ่าต่อชนเผ่า ล้วนผ่านเวลาพิสูจน์ความอยู่รอดของตนเองมาเนิ่นนานทั้งสิ้น

การให้ความเคารพระหว่าง ผู้น้อยกับผู้อาวุโส ทำให้เกิดความเมตตาต่อกันและกัน ดูแล ปกป้องซึ่งกันและกัน ทั้งๆที่ไม่ทราบว่าเป็นลูกหลานของผู้ใด ดังคำอวยพรของผู้อาวุโสให้ต่อเด็กว่า “ขอให้เจ้าจงเป็นที่รัก เมตตา ของเหล่าเทวดา มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย”  

ความรัก เมตตา ที่มีให้นั่นแหละจะนำพาชนเผ่าให้อยู่รอดเหมือนไทยเราผ่านวิกฤติมาได้ด้วยพระปรีชาเลิศล้ำเกินที่ผู้ไม่หวังดีจะทำลายได้ อยู่ที่ว่าเราจะสำนึกไหม? 

การพัฒนาทั้งหมดเป็นไปในรูปลักษณ์ของความเชื่อ ความศรัทธา ในวิถีพุทธ เพราะพุทธธรรมเหล่านี้ได้ความสมานกลมเกลียวต่อกัน จึงพัฒนามาเป็น “วิถีไทย” ได้เยี่ยงทุกวันนี้

ถ้าเราคิดพิจารณาอีกมิติว่า “ถ้าหากเรานำประชาธิปไตยไปใส่ไว้ใน ยุค ร.๕ วิกฤติร.ศ.๑๑๒ จะเกิดอะไรขึ้น?”

ในทางกลับกัน “ถ้ามหาอำนาจนำแนวทางพระพุทธศาสนาไปเป็นแกนพัฒนาประเทศ” เช่นไทย ..โลกจะไม่มีสงครามฆ่า-ทำลายกันเช่นทุกวันนี้

ไม่แปลกเลยที่ชาวโลกต่างยกย่องความมีน้ำใจของคนไทย ทั้งหมดมีเห็นเป็นเพราะชาวไทยถูกบ่มวิถี ไม่เบียดเบียนแห่งพระพุทธศาสนา และ พระเมตตาพรหมวิหารสี่วิถีพุทธของพระมหากษัตริย์ดังกล่าวด้วยเวลาที่ยาวนานจนเป็น “อัตลักษณ์ไทย” นั่นเอง

 

จำนวนผู้เข้าชมหน้านี้ : free website counters no ads