อย่าดีใจ ทหารเขาเป็นพี่น้องกับมุสลิม อีก ๔ ศาสนาไม่เกี่ยว
มุสลิมมาอยู่ มากิน มีกิจกรรมกับเรา ทุกปี
ถ้าคิดจะเข้าใจนะ
คนเห็นหน้ากันทุกวัน ไม่เคยทักทายกัน หลายครั้งก็จำได้ แต่แค่ “คนเคยเห็นหน้า”
คนเห็นหน้ากันแล้วทักทาย ก็แค่ “รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ”
คนเคยหยุดคุยกันก็บอกได้ว่า “แค่คนข้างบ้าน”
คนเคยร่วมวงกินน้ำชาบ่อยๆก็บอกได้ว่า “เขาเป็นคนคุยสนุกนะเป็นคนดีหรือไม่ไม่รู้สิ!”
ถ้าคนเคยร่วมงาน-ร่วมกิจกรรมบ่อยๆ ก็บอกได้ว่า “เขาเป็นเพื่อนผมคนดีมีน้ำใจนะ”
ถ้าเพื่อนทำผิดพลาดก็บอกว่า “เขาเป็นคนดีผิดพลาดน่าเห็นใจนะเขามีลูกยังเล็ก”
แต่ถ้าเป็นคนเคยนอนคุยกันย่อมสนิทสนมกว่าคนนั่งคุยกัน “ถึงผิดอย่างไรก็เป็นถูก”
“เขารู้ว่ามิตรภาพกับคนไทยนั้นไม่เสียหลายแน่นอนเพราะคนไทยใจอ่อนขี้สงสาร”
เมื่อมีโอกาสได้พบคนโง่ที่ศรัทธาในมิตรภาพเหนือเอกราชก็เป็นโอกาสสร้างภาพ
ภาพผู้เคร่งครัดศรัทธา สร้างเพื่อบอกว่าฉันมิใช่นักฆ่า ขอความเห็นใจด้วย กิจกรรมช่วยได้ สร้างเพื่อนได้ ก็สร้างต่อสิ
สักวันหนึ่งมีปัญหาสงครามกลางเมือง เพื่อนทหารจะยืนข้างใคร ? แค่บอกว่า เพื่อนเอ๋ย “เขารังแกฉัน เพื่อนช่วยคุยกับคนที่รังแกฉันด้วย” “เพื่อนก็เห็นนี่ว่าฉันเป็นคนปฏิบัติศรัทธาไม่ขาด”
เข้าใจได้ เมื่อต่างก็เติบโต ฝ่ายหนึ่งมีเป้าหมายเดียวเพื่อพระเจ้า
อีกฝ่ายมีลูกน้องมีอำนาจและอาวุธ ปัจจัยชี้ขาดต่างกัน ฝ่ายหนึ่งเพื่อพระเจ้า อีกฝ่ายไม่มีพระเจ้าแต่มี “พรหมวิหารสี่”
เป็นความคิดที่ฉลาด หรือ โง่? มิตรภาพมีแค่ ๒ ฝ่ายเท่านั้นเองหรือ ? ทำไมไม่มี ๓ ๔ และ ๕ ละ ? จะได้ถ่วงดุลกัน เชื่อเถอะ มีบางฝ่ายไม่ยอม
สันดานมันคิดไม่ซื่อไง!
จบนะ