การเมืองในมาเลเซียก็คล้ายกับประเทศอิสลามทั่วไป จะเป็นประชาธิปไตยก็ยังจะไม่ทิ้งศาสนา แต่นักการเมืองก็ยังใช้ศาสนาหาเสียงอยู่ดี ต่างกับไทยที่เป็นประชาธิปไตยก็เป็นซะสุดโต่ง เข้าพบพระสงฆ์เพียงเพื่อขอคะแนนเสียง ผ่านการเลือกตั้งเข้าสภาฯได้แล้วก็ออกพรบ.ควบคุมศาสนา
แต่แขกมาเลย์ยังหาเสียงกับศาสนา ชั้นเชิงสูงเกินสันดาน “งู” ที่ไม่แตะต่างศาสนาแต่บอนไซโดยใช้ระบอบ “ภูมิปุตรา” จำกัดสิทธิทุกอย่างแม้แต่มีบ้านแต่ห้ามขายเว้นแต่ขายให้ภูมิปุตราเท่านั้น
เมื่อศาสนามามิได้เป็นข้อจำกัด มุสลิมมาลายูก็คบกับต่างศาสนาเป็นเพื่อนกันได้สนิทใจ แต่...ไทยค้างถิ่นถูกบอนไซ ถึงกับจุกพูดไม่ออกถ้าเป็นต้นไม้ก็ถูกเฉาะเปลือกลำต้นจนแห้งตาย สนธิสัญญาที่ให้ดูแลคนไทยคนไทยค้างถิ่นที่ร.๕ ทำไว้ ก็ทำกับอังกฤษก็ทำไป ฉันคือมาลายูไปเกี่ยวอะไรด้วย?...ไทยพุทธซวย
คนไทยครัวเดิมในประเทศไทยก็เฉย มารยาทก็มีมากล้นเสียด้วย “ไม่ทิ้งก็เหมือนทิ้ง” ให้ไทยค้างถิ่นโดดเดียวสูญพันธุ์สิ้นศาสนารอวัดร้าง
มาเลย์พัฒนาประเทศโดยให้การศึกษากับภูมิปุตราอย่างดีเยี่ยม แต่กดหัวคนจีน และอินเดียแม้แต่สร้างภาพยนต์สักเรื่องก็โยนบทแสดงให้เป็นโจร ส่วนมาลายูชนแน่นอนเป็นตัวเอก ดีที่ไม่เอาบทโจรให้ไทยค้างถิ่น ที่ไม่ทำเพราะไทยไม่เด่นล้ำทางเศรษฐกิจเหมือนจีน กับ อินเดียแถม ไทยพุทธมีครอบครัวใหญ่เป็นบ้านมีรั้วติดกันเสียอีก
วิดีโอ.นี้บอกอะไรบางอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าเมื่อตอนได้เอกราชมีต่างชาติตกค้างที่ทำมาหากินอยู่ในมาเลเซียคือผู้อยู่อาศัย ต่างคนต่างอยู่ เมื่อชาติ ประชาชนลืมตาอ้าปากได้มุสลิมมาลายูรู้สึกตัวได้สติว่านักการเมืองหาเสียงบอกจะให้สารพัด พอได้เข้าสภาฯแม่งงงงงโกงกันแหลก
ในสภาวะโควิด-19
ห้ามประชาชนรวมตัวป้องกันการแพร่เชื่อโควิดฯ แต่ละหมาดเป็นร้อยคนได้ไม่ผิด มุสลิมที่หัวก้าวหน้าก็เริ่มคิด
ซ้ำฉีดวัคซีนให้แต่มุสลิม ชาติศาสนาอื่นๆตกสำรวจสิ มาลายูชนก็ได้สติ “อย่างนี้รัฐบาลจะฆ่ากูทางอ้อมนี่หว่า” ความเห็นใจก็เกิดขึ้นเองโดยมิได้นัดหมาย
คราวนี้ประชาชนมาลายูมุสลิมก็รู้สึกได้ว่าทุกๆมาลายูถ้วนทั่วกำลังตกในชะตากรรมเดียวกันนี่หว่า......... สาวมาลายูคนนึ้จึงเดือออด.........วิดีโอ.นี้จึงเกิด